ใครควรพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement)
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมไม่ใช่การรักษาแรกเริ่ม แต่เป็นทางเลือก สุดท้าย หลังจากผู้ป่วยลองวิธีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล โดยมุ่งหวังให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพ และไม่ทรมานจากอาการปวดหรือการเคลื่อนไหวที่จำกัดอีกต่อไป
✅ กลุ่มที่ควรพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
1. ผู้ที่มีอาการปวดข้อเข่ารุนแรงและเรื้อรัง
ปวดตลอดเวลา แม้ในขณะพักหรือนอน
ปวดมากขึ้นเมื่อทำกิจกรรมง่ายๆ เช่น เดิน ทำงานบ้าน ขึ้นลงบันได
ต้องรับประทานยาแก้ปวดติดต่อกันเป็นเวลานาน
อาการปวดมีผลต่ออารมณ์และสุขภาพจิต เช่น เครียด หงุดหงิด นอนไม่หลับ
2. ผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมระดับรุนแรง
ข้อเข่าผิดรูป เช่น ขาโก่ง ขาขัด หรือเดินกะเผลก
ข้อมีเสียงกรอบแกรบ เคลื่อนไหวติดขัด
ภาพถ่ายรังสี (X-ray) แสดงว่าพื้นที่ระหว่างกระดูกข้อเข่าหายไป กระดูกเสียดสีกันโดยตรง
มีการวินิจฉัยเป็น ข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรง (Grade III–IV Osteoarthritis)
3. ผู้ที่มีโรคหรือภาวะที่ทำลายข้อเข่าอย่างถาวร
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
โรคเกาต์ (Gout) ที่ควบคุมไม่ได้และข้อเริ่มผิดรูป
โรคข้อเสื่อมที่เกิดจากการบาดเจ็บในอดีต เช่น เอ็นเข่าขาด กระดูกแตกในข้อ
โรคติดเชื้อที่ข้อในอดีต (septic arthritis)
4. ผู้ที่พยายามรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัดแต่ไม่ได้ผล
ได้ทำกายภาพบำบัดต่อเนื่องแต่ความยืดหยุ่นของข้อไม่ดีขึ้น
ฉีดยาสเตียรอยด์หรือกรดไฮยาลูโรนิกแล้วไม่ตอบสนอง
ลดน้ำหนักแล้วแต่ข้อยังคงเจ็บปวด
ใช้เครื่องพยุงข้อ เช่น เฝือกหรือไม้เท้าแล้วไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติ
5. ผู้ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ข้อเข่าเจ็บจนเดินในบ้านลำบาก
ไม่สามารถลุกจากเก้าอี้หรือเตียงได้เอง
ต้องพึ่งพาผู้อื่นในการดูแลตนเอง เช่น การอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้า
สูญเสียอิสรภาพในการเคลื่อนไหว ส่งผลกระทบทางจิตใจ
6. ผู้ที่มีเป้าหมายในการฟื้นคุณภาพชีวิต
อยากกลับไปทำกิจกรรมที่เคยทำ เช่น เดินเล่น ท่องเที่ยว หรือดูแลหลาน
มีเป้าหมายในการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
ต้องการลดการพึ่งพายาแก้ปวดอย่างต่อเนื่อง
7. พิจารณาจากอายุและสุขภาพโดยรวม
โดยทั่วไปผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปมักได้รับประโยชน์จากการผ่าตัด
แต่ผู้ที่อายุน้อยกว่า (50–60 ปี) หากมีอาการรุนแรง ก็อาจเข้ารับการผ่าตัดได้เช่นกัน
สุขภาพต้องแข็งแรงพอที่จะรับการวางยาสลบและฟื้นตัวจากการผ่าตัด
ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน ต้องควบคุมโรคให้ดี
8. มีความเข้าใจและพร้อมสำหรับการฟื้นฟูหลังผ่าตัด
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมต้องการการทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง 6–12 สัปดาห์
ผู้ป่วยต้องมีแรงจูงใจที่จะฝึกเดิน ใช้ข้อใหม่อย่างถูกวิธี
มีการสนับสนุนจากครอบครัวหรือผู้ดูแลช่วงพักฟื้น
ใคร “ไม่ควร” ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในทันที?
ผู้ที่ยังสามารถควบคุมอาการได้ด้วยยาและกายภาพบำบัด
ผู้ที่ปวดเข่าเฉพาะเวลาทำกิจกรรมหนักๆ แต่ยังเดินและใช้ชีวิตปกติได้
ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจขั้นรุนแรง, ไตวายเรื้อรัง, ภูมิคุ้มกันต่ำ
ผู้ที่ไม่สามารถร่วมมือในการทำกายภาพบำบัดหลังผ่าตัดได้
สรุป: ตัดสินใจจากอาการ ความรุนแรง และความพร้อม
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมไม่ใช่การรักษาทั่วไป แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ “ปลายทาง” สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง และสูญเสียคุณภาพชีวิตอย่างชัดเจน การตัดสินใจควรทำร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อ เพื่อประเมินความเสี่ยง ผลลัพธ์ และแผนการฟื้นฟูหลังการผ่าตัดอย่างรอบด้าน
หากคุณหรือคนที่คุณรักกำลังเผชิญอาการเหล่านี้ การเข้ารับการประเมินโดยแพทย์เฉพาะทางด้านข้อและกระดูก (Orthopedic Surgeon) คือก้าวแรกที่สำคัญในการกลับมามีชีวิตที่คล่องตัวและมีความสุขอีกครั้ง